วันอังคารที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ตัวอย่างคำแปลคำพิพากษาเป็นภาษาอังกฤษ

อันนี้เป็นตัวอย่างภาษาอังกฤษที่ใช้ในการแปลคำพิพากษา
หลายคนอาจสงสัยว่าฝรั่งจะอ่านคำพิพากษาศาลไทยไปทำไม ? คำตอบก็คือ สัญญาทางการค้าจำนวนหนึ่งที่ฝรั่งทำกับคนไทยจะมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ เพราะบางเวลาเค้าก็ไม่ค่อยเชื่อมั่นศาลยุติธรรมไทยเท่าไร ในส่วนหนึ่งเค้าอาจคิดว่า ศาลไทยก็ต้องเข้าข้างคนไทย ดังนั้นใช้อนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นคนกลางที่ตัวเค้าเองเลือกมาน่าจะดีที่สุด แต่กฎหมายที่ใช้ละจะใช้กฎหมายของประเทศไหน ถ้าใช้กฎหมายต่างประเทศอีกฝ่ายไทยก็ไม่น่าจะยอม ดังนั้นก็ให้อนุญาโตตุลาการ โดยมากมักจะเป็นฝรั่ง ใช้กฎหมายไทย
โดยที่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอนุญาโตตุลาการเป็นชาวต่างชาติ แต่กฎหมายที่ใช้ในการตัดสินคือกฎหมายไทย ดังนั้นจึงจะต้องแปลคำพิพากษาศาลไทย(ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในการตีความกฎหมายภาคปฏิบัติ) ไปให้ฝรั่งเพื่อให้ท่านๆ อ่านและกรุณาตัดสินตามกฎหมายไทย หรือกรุณาทำตัวเป็นศาลยุติธรรมไทย ตอนแรกที่ผมได้ยินก็รู้สึกแปลก ๆ ดี
ผมได้เอาคำพิพากษาภาษาไทยมาลงด้วยเพื่อสะดวกในการเทียบเคียง ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่ต้องแปลคำพิพากษา
---------------------------------------------
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7846/2543
นางสาว พรพิมล โกศลตระกูล โจทก์

นาย ฉอ้อน นิลกำแหง จำเลย

จำเลยร่วม จำเลย

จ่าสิบเอก พลเทพ นิลกำแหง จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา 298
ป.วิ.พ. มาตรา 9

การทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญมิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ เป็นกรณีมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง เมื่อตามสัญญาจะซื้อจะขายมิได้มีข้อตกลงเป็นเงื่อนไขว่า โจทก์และจำเลยร่วมจะต้องสมรสกันหากฝ่ายใดไม่ยอมสมรสอีกฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ การที่จำเลยและจำเลยร่วมนำสืบมีเงื่อนไขการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมในสัญญาจะซื้อจะขายเป็นการนำสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามมิให้นำสืบ ศาลไม่อาจรับฟังพยานบุคคลของจำเลยและจำเลยร่วมดังกล่าวได้
จำเลยตกลงจะขายที่ดินและเรือนพิพาทแก่โจทก์และจำเลยร่วมโจทก์และจำเลยร่วมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ร่วม โจทก์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินและเรือนพิพาทแก่โจทก์ได้
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 100493(แต่ในสัญญาเขียนผิดเป็นโฉนดเลขที่ 100483) ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 1 งาน 2 ตารางวา พร้อมเรือน 2 หลัง ให้แก่นายพลเทพ นิลกำแหง (บุตรจำเลย) และโจทก์ในราคา 500,000 บาท โดยนายพลเทพและโจทก์ได้มอบเงินคนละ 50,000 บาท รวมเป็น100,000 บาท ให้แก่จำเลยเป็นค่ามัดจำในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลืออีก400,000 บาท นายพลเทพและโจทก์จะผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ5,000 บาท โดยไม่มีดอกเบี้ย เริ่มผ่อนชำระตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์2533 เป็นต้นไป จนกว่าจะครบ เมื่อชำระครบแล้วจำเลยจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่นายพลเทพและโจทก์ทันที ต่อมาโจทก์ได้ผ่อนชำระค่าที่ดินและเรือนพิพาทให้แก่จำเลยรวม 51 งวด เป็นเงินรวม 329,000บาท งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 19 ชำระให้จำเลยโดยตรง ส่วนงวดที่ 20 ถึงงวดที่ 51 จำเลยให้โจทก์ชำระโดยโอนเงินผ่านธนาคารเข้าบัญชีจำเลย ซึ่งการผ่อนชำระทั้งห้าสิบเอ็ดงวด นายพลเทพช่วยโจทก์ออกเพียง 5,000 บาทในระหว่างผ่อนชำระมีบางเดือนที่โจทก์ชำระไม่ครบและบางเดือนชำระล่าช้าแต่จำเลยก็ยอมรับและมิได้ว่ากล่าวทักท้วงเพราะจำเลยประสงค์ที่จะให้นายพลเทพสมรสกับโจทก์ ภายหลังโจทก์ไม่ประสงค์จะสมรสกับนายพลเทพและเกรงว่าจำเลยจะบิดพลิ้ว จึงได้โอนเงินผ่อนชำระงวดที่ 51 เข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 จำนวน 70,000 บาท และนัดให้จำเลยไปรับเงินส่วนที่เหลืออีกจำนวน 71,000 บาท พร้อมกับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและเรือนพิพาทให้แก่โจทก์ในวันที่ 23พฤษภาคม 2538 เวลา 9 นาฬิกา ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีสาขาปากเกร็ด แต่จำเลยได้ส่งเงินจำนวน 70,000 บาท คืนโจทก์และปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและเรือนพิพาทให้แก่โจทก์ ทั้งไม่ยอมรับชำระราคาส่วนที่เหลือ โจทก์จึงได้นำเงินส่วนที่เหลือรวม 141,000 บาท ไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีอันถือเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว แต่จำเลยก็ยังคงปฏิเสธที่จะโอนที่ดินและเรือนพิพาทให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 100493 เลขที่ดิน 2568 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมเรือน 2 หลัง ให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยรับชำระราคาที่เหลือจำนวน 141,000 บาท เป็นการตอบแทน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นหลักฐานในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ผ่อนชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือตามกำหนดและให้แล้วเสร็จภายในปี 2533 จำเลยยอมทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและเรือนพิพาทให้แก่โจทก์กับนายพลเทพในราคา 500,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงที่ซื้อขายกันทั่วไปและต่ำกว่าราคาจริงที่จำเลยซื้อมา เพราะมีข้อตกลงว่าโจทก์จะทำการสมรสกับนายพลเทพ จำเลยจึงหวังที่จะให้โจทก์และนายพลเทพใช้ที่ดินและเรือนพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันหลังจากได้สมรสกัน ในวันทำสัญญานายพลเทพได้ชำระเงินมัดจำให้ 100,000 บาท ภายหลังทำสัญญาโจทก์และนายพลเทพได้ร่วมกันผ่อนชำระค่าที่ดินและเรือนพิพาทให้อีก26 งวด งวดละ 5,000 บาท รวม 130,000 บาท โดยนำมาให้ที่บ้านจำเลยและตั้งแต่งวดที่ 27 โจทก์ได้ผ่อนชำระโดยวิธีโอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยตลอดมาจนถึงงวดที่ 51 ต่อมาจำเลยทราบว่าโจทก์ไม่ยอมทำการสมรสกับนายพลเทพ และไปอยู่กินฉันสามีภริยากับชายอื่น จำเลยจึงได้ปิดบัญชีเงินฝากที่โจทก์โอนเงินให้จำเลยและบอกกล่าวด้วยวาจาให้โจทก์มารับเงินคืนไป หรือให้โจทก์ชำระราคาค่าที่ดินและเรือนพิพาทส่วนที่เหลือแล้วรับโอนกรรมสิทธิ์ไป แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงมอบให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำและเงินที่ผ่อนชำระทั้งหมดโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและเรือนพิพาทให้ และไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จ่าสิบเอกหรือนายพลเทพ นิลกำแหง ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยร่วมเป็นบุตรของจำเลยและเป็นคู่สัญญาในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและเรือนพิพาทโดยเป็นผู้จะซื้อร่วมกับโจทก์ จำเลยตกลงจะขายที่ดินและเรือนพิพาทในราคา 500,000 บาทซึ่งต่ำกว่าราคาที่จำเลยซื้อมา เพราะประสงค์ที่จะให้โจทก์กับจำเลยร่วมสมรสกันและใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันต่อไป เงินมัดจำ 100,000 บาท ที่ชำระให้จำเลยเป็นเงินของจำเลยร่วมเพียงคนเดียว และเงินที่ผ่อนชำระนับแต่เดือนมีนาคม2533 ถึงเดือนมีนาคม 2535 จำนวน 130,000 บาท โจทก์และจำเลยร่วมร่วมกันจ่าย โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมสมรสกับจำเลยร่วมแต่กลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับชายอื่น โจทก์จึงไม่อาจถือสิทธิตามสัญญาที่จำเลยทำขึ้นเพื่อประโยชน์ของจำเลยร่วมซึ่งเป็นบุตรเท่านั้น และโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะให้โอนที่ดินและเรือนพิพาทให้แก่โจทก์เพียงคนเดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 100493 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีและเรือน 2 หลัง ที่พิพาทให้แก่โจทก์ และรับเงินจำนวน 141,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยร่วมได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและเรือนพิพาทจากจำเลยซึ่งเป็นบิดาจำเลยร่วมในราคา 500,000 บาท วางมัดจำในวันทำสัญญา 100,000 บาท ส่วนที่เหลือให้ผ่อนชำระเดือนละ 5,000 โดยไม่มีดอกเบี้ย เริ่มผ่อนชำระตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 เป็นต้นไปตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาประการแรกว่า จำเลยขายที่ดินและเรือนพิพาทให้แก่โจทก์และจำเลยร่วมก็โดยมีข้อตกลงให้โจทก์และจำเลยร่วมสมรสกัน เพื่อทั้งสองคนได้อยู่กินร่วมกันในที่ดินและเรือนพิพาทแต่โจทก์ผิดข้อตกลงไม่ยอมสมรสกับจำเลยร่วม ทั้งยังผ่อนชำระไม่ครบถ้วนและไม่ตรงตามกำหนดในสัญญา จำเลยเพิ่งมาทราบภายหลังจึงได้ทักท้วงและบอกเลิกสัญญา โจทก์จึงผิดสัญญานั้น เห็นว่า การทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง บังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้จึงเป็นกรณีมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ซึ่งตามหนังสือจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1 มิได้มีข้อตกลงเป็นเงื่อนไขว่า โจทก์และจำเลยร่วมจะต้องสมรสกัน หากฝ่ายใดไม่ยอมสมรสอีกฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้แต่อย่างใด การที่จำเลยและจำเลยร่วมนำสืบว่ามีเงื่อนไขการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมายจ.1 ทั้ง ๆ ที่สัญญาดังกล่าวก็มิได้กำหนดเงื่อนไขดังกล่าวไว้เช่นนี้ เป็นการนำสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)ศาลไม่อาจที่จะรับฟังพยานบุคคลของจำเลยและจำเลยร่วมดังกล่าวได้ที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังว่าการที่โจทก์ไม่ยอมสมรสกับจำเลยร่วม ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้นั้น ชอบแล้ว
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาประการสุดท้ายว่า โจทก์แต่ฝ่ายเดียวหาอาจจะฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินและเรือนพิพาทแก่โจทก์เพียงคนเดียวได้ไม่เห็นว่า ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1 จำเลยตกลงจะขายที่ดินและเรือนพิพาทแก่โจทก์และจำเลยร่วม ดังนั้น โจทก์และจำเลยร่วมจึงเป็นคู่สัญญาดังกล่าวและมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 โจทก์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินและเรือนพิพาทแก่โจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาทุกข้อของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน

( วิบูลย์ มีอาสา - สุวัตร์ สุขเกษม - วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ )

**************************************************

Translation)

Supreme Court Judgement No 7846/2543 [2000]
Miss Pornpimol Kosoltakul Plaintiff
Mister Charon Nilkamhaeng Defendant
Sergeant Ponthep Nilkamhaeng Joint Defendant

Civil Code Joint Creditor (Section 29)
Civil Procedure Code Varying content of documents by production of oral evidence. (Section 94)

Contract to purchase and to sell immovable property is not enforceable by action unless there is written evidence signed by the liable party. This is the case where the law requires the contract to be evidenced in writing. No provision in the contract to purchase and sell provided condition that the plaintiff and the joint defendant shall get married and if any party fail to do so the other party entitles to terminate the contract. Thus the testifying of defendant and joint defendant that the contract to purchase and to sell was conditional upon the plaintiff marrying the defendant was the production of oral evidence to vary content of document which was prohibited. The Court shall not admit such testimony of the defendant and joint defendant.
The defendant agree to sell land and house in question to the plaintiff and the joint defendant, then the plaintiff and the joint defendant were regarded as joint creditor. The plaintiff solely by himself entitles to sue the defendant demanding compulsory performance of transferring the land and house in question to the plaintiff.


The plaintiff file plaint stating that the defendant had entered contract to purchase and sell of the land title deed no. 100493 (the contract however mistakenly written as title deed no.100483), with an area of 1 ngan 2 tarang wa and fixed with 2 houses that located in Tumbol Bang Talad, Amphur Pakkred, Nonthaburi Province, jointly to both sergeant Ponthep Nilkamhaeng (defendant’s son) and the plaintiff at the price of Baht 500,000. On the day of making contract, Mr.Ponthep and the plaintiff each had deposited with the defendant an earnest of Baht 50,000 amounting to Baht 100,000. The outstanding price of Baht 400,000 shall be paid by Mr. Ponthep and the plaintiff in monthly installment of Baht 5,000 without demanded interest. The installment payment shall be commenced on 28 February 1990 onward until payment is made full-price. Upon the payment in full-price, the defendant shall immediately transfer to the Mr Ponthep and the plaintiff the ownership of the said land by making registration with competent official. Consequently the plaintiff has paid the defendant 51 installments of the price of land and house in question amounting to Baht .329,000. The 1st to 19th installment were paid directly to the defendant and the 20th to 51st installment were paid via transferring money into defendant’s bank account. Of the plaintiff’s fifty-one installments, Mr. Ponthep share with the plaintiff in paying in amount of Baht 5,000 only. During the time of making installments, some installments was paid insufficiently or late, however the plaintiff still accept and did not notify the plaintiff for default because the defendant wish for the marriage of the plaintiff and Mr. Ponthep. The plaintiff subsequently did not wish to marry Mr.Ponthep and afraid that the defendant will not honor the said contract, on 25 April 1995 the plaintiff then transfer the 51st installment of Baht 70,000 into the defendant’s bank account. The plaintiff also schedule with the defendant to pay the remaining of Baht 71,000 and take delivery of the land and house in question by registration with competent official on 23 May 1995 at 9.00 a.m. at Land Office of Nonthaburi Province, Pakkred Branch. On such date, defendant however give back the transferred amount of Baht 70,000 and refuse to transfer by registration the land and house in question to the plaintiff. The defendant also refuses to accept amount of the remaining price. The plaintiff then take the amount for remaining price of Baht 141,000 to deposit at Central Deposit Office, Legal Execution Department which shall be constituted as completely performed the plaintiff’s obligation on the said contract. The defendant however refuses to transfer ownership of land and house in question to the plaintiff. The plaintiff then demand to the Court for compulsory performance of transferring land title deed no 100493 land no. 2568 fixed with 2 houses that located in Tumbol Bang Talad, Amphur Pakkred, Nonthaburi Province to the plaintiff. And the receiving of outstanding price in amount of Baht 141,000 shall compensate the defendant. If the defendant fail to do so, the Court judgment shall be considered as evidence in registration of the transferring of ownership. And the plaintiff also demands the defendant to pay the plaintiff the damages of Baht 5,000 per month up to the time of transferring the ownership to the plaintiff.
The defendant file answer stating that the plaintiff was in breach of contract by failure to pay the remaining price within determined time and failure to made payment in full within year 1990. The defendant agree to enter contract to purchase and sell of land and house in question to the plaintiff and Mr. Ponthep in the price of Baht 500,000 which was lower than the price that commonly sale in the market, and was lower than the price that the defendant had actually purchased. Because there was an agreement that the plaintiff will marry Mr. Ponthep, the defendant thereby expect that the plaintiff and Mr.Ponthep shall cohabit in the land and house in question after such marriage. On the day of entering the said contract, Mr.Ponthep had paid an earnest of Baht 100,000 solely by himself. Subsequently the plaintiff and Mr.Ponthep have jointly paid the price of land and house in question for 26 installments in amount of Baht 5,000 each totaling of Baht 130,000 by making payment at the defendant’s house. As for the 27th installments onward the plaintiff has paid via transferring money into the defendant’s bank account up to the 51st installment. Later on the defendant learned that the plaintiff refuse to marry Mr.Ponthep and cohabit as husband and wife with other guy. The defendant then closed the transferred bank account and verbally noticed the plaintiff to take back her money or pay the outstanding price of the land and house in question and take delivery of the ownership. The plaintiff however fail to do so, the defendant then assign lawyer to issue letter of notice to terminate the contract and forfeit the earnest and all installments previously paid. Thus the plaintiff was not entitled to file plaint demand to the Court for compulsory transferring of the land and house in question and was not entitled to claim for damages. The defendant demands the Court to dismiss the case.
During trial sergeant Ake or Mr.Ponthep file motion interpleading to be joint defendant. The Court of First Instance grants permission.
The joint defendant filed and amended answer stating that the joint defendant is the son of the defendant and was a party to contract to purchase and to sell land and house in question, and also the joint purchaser with the plaintiff. The defendant agree to sell land and house in question at the price of Baht 500,000, which is much lower than the price that the defendant had actually purchased. Because the defendant wish to have the plaintiff and the joint defendant get married and expect that they will cohabit in such land and house. The earnest of Baht 100,000 payable to the defendant was solely the joint defendant’s money, and the amount of installments from March 1990 to March 1992 were half paid by the joint defendant. The plaintiff was in breach of the contract by refusing to marry the joint defendant and cohabit with other guy as husband and wife. The plaintiff was not entitled to the right that the defendant made solely for the interest of the joint defendant who is her son. And the plaintiff was not entitled to demand compulsory performance of transferring land and house in question to solely the plaintiff herself. The joint defendant demands the Court to dismiss the case.
The Court of First Instance render judgment directing the defendant to transfer by registration the land title deed 100493 Tumbol Bang Talad, Amphur Pakkred, Nonthaburi Province and 2 houses in question to the plaintiff and take amount of Baht 141,000 from the plaintiff. If the defendant fail to do so, a judgment may be substituted for declaration of intention of the defendant and other request shall be dismissed.
The defendant and the joint defendant file appeal with the Appeal Court.
The Appeal Court renders judgment in affirming the Court of First Instance Judgment.
The defendant and the joint defendant file appeal with the Supreme Court.
The Supreme Court decided “after considering, the basics fact was established that the plaintiff and the joint defendant had entered contract to purchase and to sell land and house in question from the defendant, who is father of the joint defendant, at the price of Baht 500,000 with the earnest deposited at day of entering of Baht 100,000. The remaining price shall be made by monthly installment of Baht 5,000 without demanded interest. The installment shall commence from 28 February 1990 onward. The detail appear in contract to purchase and to sell, document marked Jor 1.
The defendant and the joint defendant appeal in the first point that: the defendant sold the land and house in question to both the plaintiff and the joint defendant under condition that the plaintiff and the joint defendant shall get married, so both shall cohabit in the land and house in question. The plaintiff however fail to comply with such condition and refuse to married the joint defendant. Also the plaintiff fail to pay installment in full and in time determined in the contract. The defendant has just learned later thus argue and terminated the contract. The plaintiff was in breach of such contract. The Supreme Court is of opinion that under Civil and Commercial Code section 456 contract to purchase and to sell immovable property is not enforceable by action unless there is written evidence signed by the liable party. This is the case where the law requires the contract to be evidenced in writing. Under the contract to purchase and to sell, document marked Jor 1, no provision in the contract provided condition that the plaintiff and the joint defendant shall get married and if any party fail to do so the other party entitles to terminate the contract. Thus the testifying of defendant and joint defendant that such contract to purchase and to sell, document marked Jor1 was conditional upon the plaintiff marrying the defendant while such contract did not stipulate such condition was the production of oral evidence to add, subtract or vary content of document which was prohibited by section 94 of Civil Procedure Code. The Court shall not admit such testimony of the defendant and joint defendant. The fact that both lower Court hear that the refusing of the plaintiff to marry the joint defendant shall not constitute breach of contract, the Supreme Court agree thereto.
The defendant and the joint defendant appeal in the last point that: the plaintiff by himself may not file plaint demand transferring land and house in question to solely the plaintiff. The Supreme Court is of opinion that pursuant to the contract to purchase and to sell, document marked Jor1, the defendant agree to sell land and house in question to both the plaintiff and the joint defendant, then the plaintiff and the joint defendant were regarded as joint creditor under Civil and Commercial Code section 298. The plaintiff solely by himself entitles to sue the defendant demanding compulsory performance of transferring the land and house in question to the plaintiff. The fact that both lower Court render judgement in line with each other, the Supreme Court agree thereto. All point of appeal of the defendant and the joint defendant are irrelevant.
Judgment affirmed.
(Viboon Meearsa-Suwat Sukkasem-Veerasak Rungrat)

๕ ความคิดเห็น:

อ.อ. กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดี ๆ ครับ อยากฝากไปดูความเห็นที่นี่ด้วยครับ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=704361796257018&set=a.506933505999849.136978.505204136172786&type=1&theater&notif_t=photo_reply

อ.อ. กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดี ๆ ครับ อยากฝากไปดูความเห็นที่นี่ด้วยครับ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=704361796257018&set=a.506933505999849.136978.505204136172786&type=1&theater&notif_t=photo_reply

อ.อ. กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดี ๆ ครับ อยากฝากไปดูความเห็นที่นี่ด้วยครับ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=704361796257018&set=a.506933505999849.136978.505204136172786&type=1&theater&notif_t=photo_reply

อ.อ. กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดี ๆ ครับ อยากฝากไปดูความเห็นที่นี่ด้วยครับ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=704361796257018&set=a.506933505999849.136978.505204136172786&type=1&theater&notif_t=photo_reply

อ.อ. กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดี ๆ ครับ อยากฝากไปดูความเห็นที่นี่ด้วยครับ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=704361796257018&set=a.506933505999849.136978.505204136172786&type=1&theater&notif_t=photo_reply